• Chapter 3. Organic Veganism to Heal the Planet > Cool the Planet and Restore the Environment
    • I. ทำให้โลกเย็นลงและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม


      กำจัดมีเทน คาร์บอนดำ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ

       

      การปศูสัตว์ตัวปล่อยมีเทนที่ใหญ่ที่สุด

      คาร์บอนไดออกไซด์ไม่ใช่ภัยคุกคามที่แย่ที่สุดของเรา มันคือมีเทน และมีเทนมาจากการเลี้ยงปศุสัตว์

      เราสามารถเริ่มต้นด้วยการตัดผู้ผลิตมีเทนที่ใหญ่ที่สุดในโลกออกไป ซึ่งก็คือการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นการทำให้โลกนี้เย็นลงอย่างรวดเร็วที่สุด เราต้องหยุดบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อที่จะหยุดอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เพื่อที่จะหยุดยั้งก๊าซเรือนกระจก มีเทน และก๊าซพิษอื่น ๆ จากอุตสาหกรรมสัตว์

      ก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ และศักยภาพในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน

      ก๊าซเรือนกระจก

      CO2

      (คาร์บอนไดออกไซด์)

      CH4

      (มีเทน)

      N2O

      (ไนตรัสออกไซด์)

      ศักยภาพในการทำให้โลกร้อน (GWP)*

      1

      25*

      298*

      ความเข้มข้นในบรรยากาศก่อนยุคอุตสาหกรรม

      280 ppm

      0.715 ppm

      0.270 ppm

      ความเข้มข้นในบรรยากาศในปี2005

      379 ppm

      1.774 ppm

      0.319 ppm

      สัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่มาจาก
      การปศุสัตว์**

      9%

      37%

      65%

      * เฉลี่ยในช่วง 100 ปี มีเทนและไนทรัสออกไซด์มีฤทธิ์มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนถึง 25 และ 298 เท่าตามลำดับ เฉลี่ยในช่วง 20 ปี มีเทนมีฤทธิ์มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึง 72 เท่า (หนึ่งในล้านส่วน (ppm) หมายถึง หนึ่งส่วนต่อ 1,000,000 ส่วน) (IPCC, การประเมินครั้งที่สี่ 2007 ตารางที่ 2.14)

      ** (Steinfeld et al., เงามืดที่ทอดยาวของการปศุสัตว์ 2006)

      ถ้าทุกคนในโลกนำวิถีชีวิตการทานอาหารปลอดเนื้อสัตว์ซึ่งมีประสิทธิภาพที่สุดและทำได้อย่างง่ายดายนี้ไปใช้ เราจะสามารถแก้ไขผลกระทบของภาวะโลกร้อนได้อย่างรวดเร็ว แล้วเราก็จะมีเวลาที่จะนำมาตรการระยะยาวมาปฏิบัติ เช่น การใช้เทคโนโลยีสีเขียวให้มากขึ้นเพื่อขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศ

      ที่จริงแล้ว หากเราเพิกเฉยต่อการหยุดการผลิตเนื้อสัตว์ ความพยายามสีเขียวทั้งหมดเหล่านี้จะถูกลบล้างไป และเราอาจสูญเสียดาวเคราะห์ก่อนที่เราจะมีโอกาสติดตั้งเทคโนโลยีสีเขียวใด ๆ อย่างเช่น พลังลม หรือพลังแสงอาทิตย์ หรือรถยนต์ไฮบริด

      นักวิจัยนาซ่าเพิ่งประกาศว่า มีเทน ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากมนุษย์มากที่สุดซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เก็บกักความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึงหนึ่งร้อยเท่าในช่วงระยะเวลาห้าปี

      มีเทนทำให้โลกร้อนมากกว่า CO2 72 เท่า ในช่วงเวลา 20 ปี” 62

      คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง

      มีเทนทำให้โลกร้อนมากกว่า CO2 100 เท่าในช่วงเวลา 5 ปี”

      มีเทนหนึ่งตันที่ถูกปล่อยในวันนี้จะทำให้เกิดการร้อนขึ้นในเวลาหนึ่งปี มากกว่าหนึ่งตัดของ CO2 ที่ถูกปล่อยในวันนี้ ซึ่งจะส่งผลจนถึงปี 2075”63

      ดร.เคิร์ค สมิธ, ศาสตราจารย์ด้านสาธารสุขสิ่งแวดล้อมโลก, มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์คลีย์

      โปรดตระหนักว่า แม้ว่าการปศุสัตว์ได้ถูกรายงานว่าเป็นสาเหตุของ 18% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก ซึ่งมากกว่าภาคการขนส่งของโลกรวมกัน ที่จริงแล้ว ข้อเท็จจริงนี้เป็นการประมาณการที่ต่ำเกินไป เพราะไม่นานมานี้ การคำนวณใหม่ได้กล่าวว่า การปศุสัตว์ว่าอาจมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซถึง 50% ฉันจะพูดซ้ำ การปศุสัตว์ได้รับการคำนวณใหม่ว่าอาจก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 50% ของทั้งหมด มากกว่า 50% มาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ดังนั้นนั่นจึงเป็นทางออกหมายเลขหนึ่ง 64

      อันตรายของเมีเทนไฮเดรท และไฮโดรเจนซัลไฟด์

      ตอนที่มันเย็น [มีเทนไฮเดรท] ถูกบีบอัด [อยู่ใต้พื้นมหาสมุทร] และคงอยู่ตรงนั้น ไม่มีพิษมีภัย แต่ตอนนี้อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ก๊าซเหล่านี้จะถูกปลดปล่อยออกมา มันกำลังถูกปล่อยออกมาสู่บรรยากาศ ดังที่คุณได้ทราบจากรายงานทางวิทยาศาสตร์ว่า ชั้นเพอร์มาฟรอสต์กำลังละลายในแต่ละวัน65

      มีสัญญาณเตือนว่าเวลาอันตรายนี้กำลังจะมาถึง จากการที่ทะเลสาบและสถานที่อื่น ๆ มีมีเทนผุดขึ้นมา ซึ่งแต่เดิมเคยถูกเก็บกักไว้อย่างปลอดภัยใต้ชั้นน้ำแข็งโลก66 ไม่มีใครรู้ว่าก๊าซปริมาณมหาศาลจะถูกปล่อยออกมาเมื่อใด ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็จะก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนที่หวนกลับคืนไม่ได้ สิ่งนั้นจะเป็นหายนะแก่เรา


      เพอร์มาฟรอสเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่กำลังรอวันระเบิด – พอมันละลายไปเรื่อย ๆ มีเทนนับหมื่นเทรากรัมอาจถูกปล่อยสู่บรรยากาศ ซึ่งจะยิ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน แหล่งของมีเทนที่ค้นพบใหม่นี้ ยังไม่ได้ถูกรวมเข้าไปในโมเดลสภาพอากาศจนถึงบัดนี้” 67 (หนึ่งเทรากรัม = หนึ่งล้านตัน)

      ดร.คาร์ธี้ วอลเทอส์ นักระบบนิเวศวิทยาทางน้ำ จากมหาวิทยาลัยอลาสก้า

      มันไม่ใช่แค่มีเทนที่เราเป็นห่วง มีก๊าซต่าง ๆ มากมายจากมหาสมุทร [ตัวอย่างเช่น] ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ที่ได้ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตไปมากกว่า 90% ในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา68

      ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้น แค่เพียงไฮโดรเจนซัลไฟล์ก็สามารถทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดการระคายเคือง เช่น ตา จมูก คอ หลอดลมถูกปิดกั้น การแท้งฉับพลัน การทำงานของร่างกายบกพร่อง ปวดศีรษะ มึนงง อาเจียน ไอ การหายใจติดขัด ดวงตาได้รับบาดเจ็บ การช๊อค โคม่า การเสียชีวิต ฯลฯ

      เราอาจเสียชีวิตจากก๊าซ ยังไม่ต้องพูดถึงภาวะโลกร้อน ในตอนนี้มีมีเทนที่ถูกปล่อยสู่บรรยากาศแล้วอยู่มากมาย ผู้คนจำนวนมากมีอาการป่วยทางจิตหรือทุกข์ทรมานทางกายอื่น ๆ ตามการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์

      ก๊าซมีเทนสามารถทำให้ปวดศีรษะ ระบบหายใจและระบบหัวใจทำงานผิดปกติ และในปริมาณที่เข้มข้นจะทำให้เกิดการเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ มันคล้ายกับการถูกพิษจากคาร์บอนมอนอกไซด์ มันมีพิษถึงชีวิตมากกว่า CO2 23 เท่า

      ก๊าซอันตรายถึงชีวิตอื่น ๆ จากการปศุสัตว์

      มีก๊าซพิษอันตรายถึงแก่ชีวิตอื่น ๆ ถูกปล่อยจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ด้วยเช่นกัน มันเป็นแหล่งกำเนิดของไนตรัสออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดที่ 65% ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีฤทธิ์ในการทำให้โลกร้อนคิดเป็น 300 เท่าของ CO2 มันปล่อย 64% ของแอมโมเนียทั้งหมดซึ่งก่อให้เกิดฝนกรดและไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษถึงแก่ชีวิต ดังนั้นการหยุดการผลิตปศุสัตว์คือการกำจัดก๊าซพิษถึงชีวิตทั้งหมดเหล่านี้ รวมถึงมีเทน69

      ผลกระทบที่เลวร้ายของคาร์บอนดำ

      คาร์บอนดำเป็นอนุภาคเรือนกระจกที่เก็บกักความร้อนได้ 680 เท่าของ CO2 และมันทำให้แผ่นน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็งทั่วโลกละลายเร็วขึ้นอีกด้วย การปล่อยคาร์บอนดำมากถึง 40% มาจากการเผาป่าเพื่อการปศุสัตว์

      นักวิทยาศาสตร์พบว่า 60% ของอนุภาคคาร์บอนดำที่แอนตาร์ติกา ถูกพัดโดยลมจากป่าในอเมริกาใต้ซึ่งถูกเผาไหม้เพื่อทำเป็นพื้นที่สำหรับการผลิตปศุสัตว์70

      หยุดการผลิตเนื้อสัตว์เพื่อให้เกิดผลกระทบที่เย็นลงอย่างรวดเร็ว

      หากเราต้องการเห็นโลกของเราเย็นลงในหนึ่งหรือสองทศวรรษข้างหน้า มันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าที่จะลดมีเทนก่อน และเนื่องจากแหล่งกำเนิดที่ใหญ่ที่สุดของมีเทนบนโลกเรานั้นมาจากปศุสัตว์ การเป็นวีแก้นคือหนทางที่เร็วที่สุดที่จะลดมีเทน ซึ่งจะทำให้เกิดการเย็นลงของโลกเราที่ประสบความสำเร็จและรวดเร็ว
      ดร.เคิร์ก สมิธ นักวิจัยชาวสหรัฐอเมริกาและสมาชิกไอพีซีซี ได้แสดงให้เห็นว่า ภายในระยะเวลาแค่เพียงไม่กี่ปี อัตราการสลายตัวของมีเทนนั้นสูงกว่า CO2 และมันเกือบจะหมดไปภายในระยะเวลาหนึ่งทศวรรษ แต่ CO2 จะคงอยู่ ซึ่งจะทำให้โลกร้อนเป็นเวลาพัน ๆ ปี! ดังนั้น หากเราต้องการให้โลกเย็นลงอย่างรวดเร็ว เราต้องกำจัดตัวการที่ออกไปจากโลกนี้อย่างรวดเร็ว
      71

      กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีเทนสร้างความเสียหายในระยะสั้นได้มากกว่า แต่ถ้าเราหยุดมัน เราจะสามารถแก้ไขแนวโน้มของภาวะโลกร้อนได้อย่างรวดเร็ว

      ดีที่สุดคือการหยุดทานเนื้อสัตว์ หยุดการฆ่าสัตว์ หยุดการเลี้ยงสัตว์ แล้วก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ก็จะหยุดเช่นกัน! แล้วเราจะตัดมลภาวะจำนวนมากออกไปจากอากาศของเรา และเราจะตัดกระบวนการภาวะโลกร้อน ฉันได้กล่าวแล้วว่า 80% จะถูกตัดไปเกือบทันที และเราสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์

      อนุรักษ์มหาสมุทร

      หยุดการเกิดบริเวณมรณะ

      มีประโยชน์มหาศาลอื่น ๆ ที่ได้จากการหยุดการผลิตเนื้อสัตว์ ยกตัวอย่างเช่น บริเวณมรณะในมหาสมุทรโดยส่วนใหญ่เกิดจากปุ๋ยที่ไหลออกมาจากการกสิกรรมเพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์

      บริเวณมรณะเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงต่อระบบนิเวศของมหาสมุทร แต่มันก็สามารถฟื้นคืนได้ถ้าเราหยุดการสร้างมลภาวะให้แก่มันด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปศุสัตว์ของเรา

      บริเวณมรณะขนาดใหญ่ที่อ่าวเม็กซิโกซึ่งมีขนาดเท่ากับรัฐนิวเจอร์ซี่และทำให้สิ่งมีชีวิตทางทะเลในบริเวณนั้นไม่สามารถหายใจได้ เกิดจากไนโตรเจนที่ไหลจากภูมิภาคตะวันตกตอนกลางซึ่งเกิดจากของเสียจากสัตว์และปุ๋ยสำหรับเพาะปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ของเสียเหล่านี้เป็นพิษ มันมียาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน และยาฆ่าแมลง และมีเชื้อโรคร้ายแรงถึงชีวิตที่เข้มข้น อย่างเช่น อีโคไล และซาโมเนลล่า 10 ถึง 100 เท่าของของเสียจากมนุษย์72

      ในปี 1995 บึงของเสียขนาดแปดเอเคอร์ได้ระเบิดออกที่นอร์ธคาโลไลน่า ของเสียที่เป็นพิษในปริมาณ 25 ล้านแกลลอนทะลักออกมาซึ่งคิดเป็นสองเท่าของปริมาณน้ำมันจากเหตุการณ์เรือน้ำมันเอ็กซอน วอลเดซ ปลานับร้อยล้านตัวในแม่น้ำนิวริเวอร์ถูกฆ่าตายทันทีเนื่องจากไนเตรทในของเสียเหล่านั้น โดยผลกระทบยิ่งมีมากขึ้นเมื่อของเสียเหล่านั้นเดินทางถึงมหาสมุทร73

      จำนวนของบริเวณมรณะที่ปลอดออกซิเจนได้เพิ่มสูงขึ้นจากเพียงแค่ 49 แห่ง ในทศวรรษที่ 60 เป็น 405 แห่งในปี 2008” 74

      โรเบิร์ต เจ ไดแอซ และรัทเจอร์ โรเซนเบิร์ก นักนิเวศวิทยาทางทะเลชั้นนำของโลก

      หยุดการจับปลาและฟื้นคืนชีวิตให้กับสัตว์ทางทะเล

      เราจำเป็นต้องมีปลาในทะเลเพื่อให้เกิดสมดุลในมหาสมุทร มิฉะนั้นแล้วชีวิตของเราก็จะอยู่ในอันตราย

      การจับปลาทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเนื่องจากการรบกวนระบบนิเวศที่ซับซ้อนของมหาสมุทรของโลก ระบบนิเวศทางทะเลที่สมดุลนั้นสำคัญยิ่ง เพราะพื้นที่มากกว่าสองในสามของโลกถูกปกคลุมด้วยมหาสมุทร

      มหาสมุทรเป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนยิ่ง ซึ่งทุกสิ่งมีชีวิตมีหน้าที่เฉพาะเป็นของตัวเอง ดังนั้นการจับแม้แต่ปลาเล็ก ๆ ให้มนุษย์กินเป็นอาหาร จะสร้างความไม่สมดุลในทะเล ที่จริงแล้วเราได้เห็นผลกระทบของความไม่สมดุลนี้เกิดขึ้นแล้วกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล

      หยุดจับปลา แล้วชีวิตทางทะเลจะกลับคืนมา เพราะการจับปลาจำนวนมากทำให้ปลาซาดีนหายไปจากอ่าวของนามิเบีย การปล่อยก๊าซที่เป็นโทษได้ก่อให้เกิดบริเวณมรณะ ซึ่งกำลังทำลายระบบนิเวศในบริเวณนั้น ๆ อันเนื่องจากการหายไปของสายพันธุ์เล็ก ๆ หนึ่งสายพันธุ์ แต่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศและทรงพลัง75

      การจับปลามากเกินไปทำให้ปลาที่หลงเหลืออยู่มีขนาดเล็กลง ดังนั้นตาข่ายจับปลาจึงมีช่องเล็กลงเพื่อให้สามารถจับปลาตัวเล็ก ๆ ได้ นี่คือสาเหตุที่ปลาชนิดอื่น ๆ ถูกจับด้วยเช่นกัน ดังนั้นมันยิ่งทำลายระบบนิเวศทางทะเลและทำลายปลาเพิ่มมากขึ้น สัตว์เหล่านี้ถูกบดเป็นอาหารสัตว์ ถูกใช้เป็นปุ๋ย หรือถูกโยนกลับสู่มหาสมุทรให้เป็นปลาตาย ยกตัวอย่างเช่น กุ้งทุก ๆ หนึ่งตันที่ถูกจับได้ จะมีปลาชนิดอื่น ๆ สามตันที่ถูกฆ่าและโยนทิ้งไป

      และการศึกษาของสหรัฐอเมริกาชิ้นหนึ่งได้เปิดเผยว่า สุกรและไก่ถูกบังคับให้กินสัตว์ทะเลมากกว่าสองเท่าของที่เป็นอาหารของชาวญี่ปุ่นทั้งหมด และหกเท่าของปริมาณที่บริโภคโดยผู้คนในสหรัฐอเมริกา อย่างน้อยหนึ่งในสามของปลาทั้งหมดในโลกที่ถูกจับในวันนี้ เป็นอาหารให้กับปศุสัตว์ ไม่ใช่เป็นอาหารให้กับมนุษย์ด้วยซ้ำ

      ถ้าการประมาณการณ์ต่าง ๆ ที่เราได้มานั้นเกิดขึ้นจริง เราจะอยู่ในสถานการณ์ที่อีก 40 ปีข้างหน้า เราจะไม่มีปลาเหลืออยู่อีกเลย 76

      ปาวาน สุขเทพ หัวหน้าการริเริ่มเศรษฐกิจสีเขียว
      โครงการสิ่งแวดล้อมขององค์การสหประชาชาติ

      มีอีกสภาวะหนึ่งที่เรียกว่า สภาวะที่เป็นกรด ซึ่งการขาดปลาบางชนิดได้ทำให้เกิดความเป็นกรดที่สูงขึ้นในมหาสมุทร ส่งผลให้ความสามารถในการดูดซับ CO2 ของมหาสมุทรลดลง

      ฟาร์มปลาก็เหมือนฟาร์มสัตว์บนบก มันก่อให้เกิดปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน โดยส่งผลกระทบที่รวมถึงการสร้างมลภาวะต่อแหล่งน้ำ ปลาในฟาร์มถูกล้อมด้วยตาข่ายขนาดใหญ่ตามชายฝั่งมหาสมุทร โดยอาหารที่เหลือจากการกิน ของเสียจากปลา ยาปฏิชีวนะ หรือยาและสารเคมีอื่น ๆ จะไหลสู่น่านน้ำบริเวณใกล้เคียง สิ่งเหล่านี้ทำลายระบบนิเวศของเราและสร้างมลภาวะให้กับแหล่งน้ำดื่มของเรา

      ดังนั้น ใครก็ตามที่คิดว่าการกินปลาไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เหมือน ๆ กัน โปรดคิดใหม่อีกครั้ง การบริโภคผลิตภัณฑ์สัตว์ใดก็ตาม มีผลกระทบที่เป็นลบต่อมหาสมุทรและโลกของเรา

      หยุดการขาดแคลนน้ำ

      การปศุสัตว์ ตัวกินน้ำที่ตะกละตะกลามที่สุด

      เราต้องพิจารณาการกสิกรรมและการจัดการทรัพยากรน้ำของเราใหม่ เนื่องจากการกสิกรรมและการปศุสัตว์ใช้น้ำสะอาด 70% และเป็นตัวการตัดไม้ทำลายป่าถึง 80%”

      บัน คี มูน


      น้ำคือทุกสิ่งในชีวิต เราต้องอนุรักษ์น้ำไว้ เราต้องทำทุกสิ่งที่เราทำได้ และก้าวแรกในการเริ่มต้นก็คือเป็นวีแก้น เพราะอุตสาหกรรมสัตว์ใช้น้ำสะอาดของโลกมากกว่า 70%

      ขณะที่ 1.1 พันล้านคนไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด เราเสียน้ำสะอาดอันล้ำค่า 3.8 พันล้านตันทุกปีไปกับการผลิตปศุสัตว์

      เรามีประชากร [มากกว่า] หกพันล้านคนในโลกนี้ และแหล่งน้ำใต้ดินสำหรับบ่อน้ำซึ่งค้ำจุนประชากรครึ่งหนึ่งของโลกกำลังเหือดแห้งไป และระบบชลประทานสิบอันดับแรกของโลกกำลังเหือดแห้งหรือลดน้อยลง และประชากรสามพันล้านคนกำลังขาดแคลนน้ำ

      เราขาดแคลนน้ำหรือไม่?

      เนื้อวัวหนึ่งจาน ใช้น้ำมากกว่า 1,200 แกลลอน

      เนื้อไก่หนึ่งจาน ใช้น้ำมากกว่า 330 แกลลอน

      อาหารวีแก้นหนึ่งมื้อเต็ม ที่มีเต้าหู้ ข้าวและผักต่าง ๆ
      ใช้น้ำเพียง
      98 แกลลอน
      77

      แม้ว่าเราจะไม่อาบน้ำ เราไม่แปรงฟัน มันก็เทียบไม่ได้กับตอนที่เราไม่หยุดทานเนื้อสัตว์

      ชาวอเมริกันกังวลกับการขาดแคลนน้ำแล้ว ธารน้ำแข็งของพวกเขาได้ละลายไปมากมาย และแม่น้ำได้เหือดแห้งไป ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีน้ำไม่พอสำหรับ 23 ล้านคน ผู้ซึ่งพึ่งพาแหล่งน้ำเหล่านั้นเพื่อความอยู่รอด78

      การทานวีแก้นออแกนิกประหยัดน้ำของโลกได้มากกว่า 90%

      แหล่งที่มาของข้อมูล: Marcia Kreith, ปริมาณน้ำสำหรับการผลิตอาหารที่แคลิฟอร์เนีย มูลนิธิเพื่อการศึกษาเรื่องน้ำ

      การผลิตเนื้อสัตว์ใช้น้ำในปริมาณมาก มันใช้น้ำดี สด สะอาด มากถึง 1,200 แกลลอน ในการผลิตเนื้อวัวเพียงหนึ่งจาน79 ในทางตรงกันข้าม อาหารวีแก้นหนึ่งมื้อเต็มใช้น้ำเพียง 98 แกลลอน ซึ่งคิดเป็นปริมานที่ลดลงกว่า 90%

      เราสามารถหยุดยั้งการขาดแคลนน้ำได้ ขณะที่ความแห้งแล้งกำลังคุกคามประชากรเพิ่มมากขึ้น เราไม่สามารถสูญเสียน้ำได้อีกแล้ว ดังนั้นหากเราต้องการที่จะหยุดการขาดแคลนน้ำและอนุรักษ์น้ำอันล้ำค่าไว้ เราต้องหยุดผลิตภัณฑ์จากสัตว์

      การอนุรักษ์ผืนดิน

      หยุดการกินหญ้าที่มากเกินไปและการทำลายป่า

      ภาคปศุสัตว์เป็นการใช้พื้นที่ของมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุด และมีส่วนในการทำลายป่าฝนเป็นอันดับต้น ๆ

      เราต้องหยุดการกินหญ้าของปศุสัตว์เพื่อปกป้องดินของเราและปกป้องชีวิตของเรา การกินหญ้าของปศุสัตว์ที่มากเกินไป เป็นสาเหตุหลักของการทำลายป่าและผลเสียอื่น ๆ และเป็นสาเหตุของการกัดกร่อนหน้าดินมากกว่า 50%

      เรามีผืนดินเพียง 30% ที่ปกคลุมโลก ในพื้นที่ 30% อันล้ำค่านั้น หนึ่งในสามของมันถูกใช้ ไม่ใช่เพื่อการอยู่รอดที่แท้จริงของเรา แต่เพื่อการเลี้ยงปศุสัตว์ หรือการปลูกธัญพืชสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลิตเนื้อสัตว์เพียงไม่กี่ชิ้น

      ตัวอย่างเช่น พื้นที่ประมาณหนึ่งพันล้านเอเคอร์ หรือ 80% ของพื้นที่กสิกรรมในสหรัฐ และประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ของสหรัฐทั้งหมด ถูกใช้ไปกับการผลิตเนื้อสัตว์ ในทางตรงข้าม พื้นที่น้อยกว่าสามล้านเอเคอร์ถูกใช้ไปกับการปลูกผักทั้งหมดของประเทศ 80

      ที่เม็กซิโก การวิจัยเมื่อไม่นานมานี้กล่าวว่า 47% ของที่ดินได้ถูกทำให้เป็นทะเลทรายเนื่องมาจากความเสียหายจากอุตสาหกรรมวัว 81 และพื้นที่อีก 50 ถึง 70% ของประเทศกำลังได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ

      การถางที่ดินเพื่อเลี้ยงปศุสัตว์ได้สร้างความไม่เสถียรและการกัดกร่อนของดินที่รุนแรงทั่วทั้งเม็กซิโก ที่ภาคเหนือของเม็กซิโก ที่ดินเกือบสองในสามถูกจัดให้อยู่ในสภาวะสึกกร่อนโดยสิ้นเชิง หรือสภาวะสึกกร่อนรุนแรง82 เมื่อปศุสัตว์กินผักและเหยียบย้ำผืนดินทั้งหมด สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือผืนดินที่เป็นเหมือนซีเมนต์ ไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้อีก สิ่งนี้ทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายลงเนื่องจากคาร์บอนถูกปล่อยเพิ่มมากขึ้นจากพื้นที่ที่ตายแล้วและดินที่ว่างเปล่า

      กำจัดความหิวโหยของโลก

      ถ้าทุกคนทานอาหารจากพืช ก็จะมีอาหารเพียงพอสำหรับประชากรหมื่นล้านคน

      การสูญเสียที่ดินไปกับการเลี้ยงปศุสัตว์

      เราขาดแคลนอาหารหรือไม่?

      มีกี่คนในโลกที่กำลังหิวโหย? 1.02 พันล้านคน

      ทุก ๆ ห้าวินาที เด็กหนึ่งคนเสียชีวิตจากความหิวโหย

      ธัญพืชที่ถูกนำไปเลี้ยวปศุสัตว์ในตอนนี้ เพียงพอที่จะเลี้ยงคนเกือบสองพันล้านคน 83

      จูลี่ เกลลาทเลย์ และโทนี่ ฮาร์ดี้

      เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของถั่วเหลืองทั้งหมด 80% ของข้าวโพด และ 70% ของธัญพืชทั้งหมดที่ปลูกในสหรัฐอเมริกา ถูกใช้ไปกับการเลี้ยงปศุสัตว์ ขณะที่สิ่งนี้สามารถเลี้ยงผู้หิวโหยได้อย่างน้อย 800 ล้านคน84 เรามีผู้หิวโหย เรามีเด็ก ๆ ที่กำลังเสียชีวิตทุก ๆ ไม่กี่วินาที เพราะเราใช้ที่ดินมากเกินไป น้ำมากเกินไป อาหารมากเกินไปสำหรับปศุสัตว์ แทนที่จะมีไว้สำหรับมนุษย์

      ถ้าเราไม่ทานเนื้อสัตว์ เราจะใช้ผลิตภัณฑ์จากการเกษตร ธัญพืช ไปกับการเลี้ยงดูมนุษย์ แทนที่จะเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้นในอนาคต แล้วเราก็จะไม่มีความหิวโหยอีกต่อไป และจะไม่มีสงครามเนื่องจากความหิวโหยใด ๆ อีก ผลกระทบนั้นมหาศาล

      การใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ

      แหล่งที่มาของข้อมูล: USDA; FAO/WHO/UNICEF กลุ่มที่ปรึกษาด้านโปนตีน 2004

      นอกจากนี้ ยิ่งเราใช้วิธีทำการเกษตรแบบออแกนิกธรรมชาติมากเท่าใด เราจะยิ่งมีอาหาร เราจะยิ่งมีสุขภาพที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ และดินจะยิ่งดีขึ้น แล้วจากนี้ไป ดินจะฟื้นตัวแล้วเราจะยิ่งมีอาหารที่อุดมสมบูรณ์

      หยุดการตัดไม้ทำลายป่า

      เราต้องห้ามการตัดไม้ทำลายป่า และเราต้องปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น แน่นอนว่าที่ใดก็ตามที่มีการกัดเซาะหรือที่ดินที่ว่างเปล่า เราต้องปลูกต้นไม้

      การตัดไม้ทำลายป่าโดยส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตเนื้อสัตว์  จากการประเมินขององค์การสหประชาชาติ การตัดไม้ทำลายป่าทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก 20% ของทั้งหมด ซึ่งการตัดไม้ทำลายป่าเกือบทั้งหมดนั้นเกี่ยวโยงกับการผลิตเนื้อสัตว์86 แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของป่าอเมซอนที่ถูกถางไปนั้น ก็เพื่อเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร และส่วนที่เหลือนั้นสำหรับปลูกถั่วเหลืองเพื่อเป็นอาหารสัตว์

      ทุก ๆ ปี เราตัดป่าไม้ที่มีพื้นที่เท่ากับประเทศอังกฤษเพียงเพื่อสำหรับเลี้ยงสัตว์  ซึ่งทำให้โลกของเราร้อนขึ้น โดยมีพื้นที่มากมายกำลังประสบกับปัญหาน้ำท่วมและความแห้งแล้ง

      ป่าฝนขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลถูกทำลายไปทุก ๆ วินาที เพื่อการผลิตแฮมเบอร์เกอร์เพียง 250 ชิ้น87

      เรากำลังสูญเสียป่าฝนขนาด 55 ตารางเมตร เพื่อแฮมเบอร์เกอร์เพียงหนึ่งชิ้น88


      ป่าไม้มีบทบาทที่สำคัญในการดูดซับ CO2  ยกตัวอย่างเช่น ป่าไม้ในภูมิภาคแปซิฟิคตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา สามารถดูดซับการปล่อยก๊าซทั้งหมดในรัฐโอเรกอน สหรัฐ ได้ครึ่งหนึ่ง
      ตามองค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม กรีนพีช แปดเปอร์เซ็นต์ของคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ของโลกนั้น ถูกเก็บไว้ในป่าฝนอันกว้างใหญ่ของอ่างน้ำคองโกที่แอฟริกาตอนกลาง นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่า การตัดไม้ทำลายป่าที่ดำเนินต่อไปของคองโกจะปล่อย CO2 ในปริมาณเท่ากับที่ได้จากสหราชอาณาจักรในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา! 
      89 ดังนั้น มันจึงมีความสำคัญที่จะอนุรักษ์ป่าไม้ไว้ขณะที่เรายังสามารถทำได้

      ต้นไม้ดึงดูดฝน รักษาดิน และหยุดการกัดกร่อน และ [มัน] ให้ออกซิเจนและร่มเงาและเป็นที่พักให้กับเพื่อนสัตว์ ซึ่งจะส่งผลให้โลกของเราอยู่ในสภาพที่ดีและมีชีวิตต่อไป

      [การตัดไม้ทำลายป่า] ไม่เพียงทำให้อุณหภูมิโลก ฝน และรูปแบบสภาวะอากาศ ซึ่งป่าฝนเป็นตัวควบคุมดูแล เปลี่ยนแปลงอย่างถาวร มันไม่ใช่แค่เกี่ยวกับประชากรนับล้าน ๆ คนที่พึ่งพาป่าไม้ที่อาจจะสูญเสียชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ยังมีมากกว่านั้น มีการสูญพันธ์ของพันธุ์สัตว์  ซึ่งรวดเร็วกว่าอัตราเร็วตามธรรมชาติถึง   100 เท่า และมันทำลายระบบนิเวศของเรา

      โชคดีที่เรามีทางออกพร้อมแล้วอยู่ในมือ ซึ่งก็คือทางออกวีแก้นออแกนิก เราต้องยอมรับทางออกวีแก้นออแกนิก ว่าเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยรักษาโลกเราไว้ได้ในตอนนี้

      ผืนดินสำหรับการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชเป็นอาหารสัตว์นั้น สามารถเปลี่ยนเป็นป่าไม้ที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้  นอกจากนี้ถ้าผืนดินที่เพาะปลูกได้ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นไร่ปลูกผัก ผู้คนจะไม่เพียงได้รับการเลี้ยงดูอย่างพอเพียง แต่ก๊าซเรือนกระจกมากถึง 40% ของทั้งหมดในบรรยากาศอาจถูกดูดซับไปด้วย นี่คือสิ่งที่จะได้รับนอกเหนือจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 50% ที่เกิดจากการปศุสัตว์90

      ดังนั้น โดยสรุปแล้ว เรากำจัดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากมนุษย์โดยส่วนใหญ่ เพียงแค่รับวิถีชีวิตวีแก้นออแกนิกมาใช้

      อนุรักษ์พลังงาน

      การสูญเสียพลังงานจากการผลิตเนื้อสัตว์

      การผลิตเนื้อสัตว์นั้นใช้พลังงานมากมาย และไร้ประสิทธิภาพทางพลังงานอย่างยิ่ง การผลิตเนื้อวัวหนึ่งกิโลกรัม ใช้พลังงาน 169 เมกะจูลล์ (169 ล้านวัตต์) หรือพลังงานที่เพียงพอสำหรับการขับรถยุโรปธรรมดาในระยะทาง 250 กิโลเมตร!

      เนื้อเสต็กหกปอนด์หนึ่งชิ้นใช้พลังงานถ่านหิน 16 เท่าของที่ใช้สำหรับอาหารวีแก้นหนึ่งมื้อที่มีผักสามชนิดและข้าว

      แหล่งที่มาของข้อมูล: Gidon Eshel and Pamela A. Martin, “การกินอาหาร พลังงาน และภาวะโลกร้อน”, Earth Interaction, Vol 10 (2006), paper No. 9.

      ประธานไอพีซีซีขององค์การสหประชาชาติ ดร.ราเจนดรา ปาจาอุรี ระบุอีกว่า เนื้อสัตว์ต้องใช้การขนส่งและการแช่แข็งอย่างต่อเนื่อง การเพาะปลูกอาหารสัตว์และการขนส่งอาหารสัตว์ การบรรจุ การปรุงอาหารที่อุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน และของเสียจากสัตว์อีกมากมายที่จำเป็นต้องผ่านการจัดการและทิ้งไป การผลิตเนื้อสัตว์มีค่าใช้จ่ายมากมายและไม่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน มันเป็นธุรกิจที่ไม่ดีที่จะผลิตเนื้อสัตว์ 91

      ค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของเนื้อสัตว์

      "การผลิตเนื้อวัวหนึ่งปอนด์ ใช้น้ำ 2,500 แกลลอน ธัญพืช 12 แกลลอน หน้าดิน 35 ปอนด์ และพลังงานเทียบเท่ากับแก๊ส 1 แกลลอน ถ้าค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ได้รับการสะท้อนในราคาของผลิตภัณฑ์ โดยไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล แฮมเบอร์เกอร์ราคาถูกที่สุดในสหรัฐอเมริกาจะมีราคา 35 ดอลลาร์สหรัฐ" 92

      —จอหน์ ร็อบบินส์

      ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ

      ทุกสิ่งบนโลกนี้รวมถึงพวกเรานั้นเชื่อมต่อกัน และเราช่วยกันและกันที่จะทำให้ชีวิตของเราอยู่อย่างสะดวกสบายและมีชีวิตอยู่ได้ แต่หากเราไม่คิดว่า เรากำลังฆ่าตัวเราเอง ทุก ๆ ครั้งที่เราตัดต้นไม้ หรือฆ่าสัตว์ เรากำลังฆ่าส่วนเล็ก ๆ ของเราเอง

      สถานะการคุกคามสายพันธุ์ตามการจำแนกประเภทที่ได้รับการประเมินอย่างครอบคลุม

      แหล่งที่มาของข้อมูล: เลขาธิการที่ประชุมว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ, Global Biodiversity Outlook 3, 2010, http://www.cbd.int/doc/publications/gbo/gbo3-final-en.pdf, 28

      ในมหาสมุทรและแม่น้ำสะอาด พันธุ์ปลาจำนวนมากได้สูญหายไปเนื่องด้วยสภาพแวดล้อมทางน้ำ เช่น ปะการังถูกฆ่าตายจากการจับปลาด้วยระเบิด ขณะที่บนบก การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุของการทำลายพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ เช่น ถั่วเหลืองสำหรับเลี้ยงปศุสัตว์
      ด้วยกิจกรรมเหล่านี้ ซึ่งแท้จริงแล้ว ขโมยความหลากหลายทางชีวภาพของเรา พืชและสัตว์ได้สูญหายไปเพิ่มมากขึ้น 93

      ทวงคืนแม่น้ำและดินจากมลภาวะ

      ถ้าเราอยากที่จะรักษาน้ำที่ปลอดภัยและสะอาดของเราเพื่อตัวเราเองและลูก ๆ ของเรา เราต้องหยุดการผลิตปศุสัตว์และหันมาทานอาหารจากพืช

      องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาประมาณว่า การกสิกรรมซึ่งโดยส่วนใหญ่เพื่อการผลิตเนื้อสัตว์นั้น เป็นตัวการที่ทำให้เกิดปัญหามลพิษทางน้ำถึงสองในสาม94 ฟาร์มสุกรหนึ่งแห่งที่มีสุกร 500,000 ตัว จะทำให้เกิดของเสียมากกว่าของเสียจากประชากรแมนฮัทตันในกรุงนิวยอร์คจำนวน 1.5 ล้านคนต่อปีที่รัฐเวอร์จิเนีย แม้แต่ฟาร์มไก่ก็ผลิตไนโตรเจนมากกว่าประชากรที่อยู่ในบริเวณเดียวกันถึง 1.5 เท่า  ไม่มีกฎหมายที่จะควบคุมดูแลสิ่งนี้

      สุกร 1.8 ล้านตัวที่ไอร์แลนด์ ก่อให้เกิดของเสียมากกว่าประชากรทั้งประเทศจำนวน 4.2 ล้านคน!

      เนื่องจากที่ดินไม่สามารถดูดซับมันไว้ได้หมด ส่วนที่เกินมาจะไหลสู่แม่น้ำและดินของเรา เรากำลังพูดถึงปริมาณของสิ่งที่เป็นพิษจำนวนมหาศาลที่กำลังสร้างปัญหาอันน่าสะพรึงกลัว รวมถึง ก๊าซพิษ อย่างเช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์และแอมโมเนีย ยาฆ่าแมลงที่คงค้าง ฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะ และแบคทีเรีย อย่างเช่น อีโคไล ที่สามารถทำให้เกิดอาหารเป็นพิษและการสูญเสียชีวิต

      นอกจากของเสียแล้ว ยังมีปุ๋ยเคมีที่ใช้กับพืชเลี้ยงสัตว์ ที่นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ก่อให้เกิดบริเวณมรณะและการระบาดของสาหร่ายที่เป็นพิษซึ่งเป็นมอสสีเขียวที่เติบโตในน้ำ

      เหตุการณ์เช่นนี้ ครั้งหนึ่งได้เกิดที่ขึ้นบริททานี่ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่ตั้งของการปศุสัตว์ส่วนใหญ่และหนึ่งในสามของฟาร์มไก่ของประเทศ  ที่ชายฝั่งบริททานี่ ของเสียและสารเคมีเหล่านี้ไหลลงสู่ทะเล ทำให้เกิดการระบาดของสาหร่ายที่เป็นพิษ โดยได้ปล่อยก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้ ในรายงานข่าวเมื่อไม่นานมานี้เราได้ยินว่ามีม้าที่เสียชีวิตภายในครึ่งนาที เพียงเพราะก้าวลงไปในสาหร่ายนั้น  และในตอนนี้สุขภาพของประชากรมากกว่า 300 คนโดยรอบบริเวณนั้นกำลังได้รับการตรวจสอบด้วยเหตุผลเดียวกัน

      สิ่งที่ทำให้ทั้งหมดนี้แย่ลงไปอีกก็คือความจริงที่ว่า ของเสียจากสัตว์โดยส่วนใหญ่ไม่ได้รับการควบคุมดูแล หมายความว่า ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งเหตุการณ์การปนเปื้อนเหล่านี้ได้ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการเจ็บป่วยหรือแม้แต่การเสียชีวิตของสัตว์และคนจำนวนมาก

      (โปรดดูที่ภาคผนวก 9 สำหรับตัวอย่างเพิ่มเติมของมลภาวะที่เกิดจากของเสียจากสัตว์)

      การลดค่าใช้จ่ายทางการเงินและสุขภาพ

      ประหยัดค่าใช้จ่ายในการบรรเทาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้เป็นล้าน

      ผู้นำต่างเป็นห่วงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับการบรรเทาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี ข่าวดีก็คือ หากโลกนี้เปลี่ยนไปทานอาหารที่ปลอดเนื้อสัตว์ เราจะลดค่าใช้จ่ายได้ครึ่งหนึ่งหรือมากกว่า ซึ่งหมายความว่า เราจะลดค่าใช้จ่ายได้เป็นล้าน ๆ ล้านดอลลาร์

      ค่าใช้จ่ายของอากาศที่เปลี่ยนแปลง

      "การศึกษาของคณะกรรมาธิการยุโรปได้ประมาณการว่า สภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 74 ล้านล้านดอลลาร์ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหนึ่งเมตรจะทำให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สินจากวาตภัยประมาณ 1.5 ล้าน ล้านดอลลาร์สหรัฐ"95

      นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เอฟ แอคเคอร์แมน และอี แสตนตัน

      "ราคาของการไม่ดำเนินการอะไรอาจะสูงถึง 176 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี จนถึงปี 2100 สำหรับประเทศญี่ปุ่น" 96

      ศาสตราจารย์ โนบุโอ มิมูระ และคณะ

      การประหยัดเงินจากการทานวีแก้น

      "การหันไปทานอาหารวีแก้นทั่วโลกสามารถขจัดค่าใช้จ่ายในการบรรเทาสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงภายในปี 2050 ซึ่งประมาณการณ์ไว้ที่ 40 ล้านล้านดอลลาร์ ได้ถึง 80% (32 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)" 97


      ลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพให้เหลือน้อยที่สุด

      ความเสี่ยงทางสุขภาพของการทานเนื้อสัตว์นั้นชัดเจนขึ้นทุกวัน ปศุสัตว์ได้รับฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อถูกบริโภคเป็นเนื้อสามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์

      ยังมีผลิตผลพลอยได้ที่เป็นพิษในสถานที่ฆ่าสัตว์ เช่นแอมโมเนียและไฮโดรเจนซัลไฟด์ สารที่เป็นพิษเหล่านี้ ได้ทำให้เกิดการเสียชีวิตในกลุ่มคนงานเนื่องจากพิษที่รุนแรงของมัน

      เนื้อสัตว์ที่เป็น อาหารเป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เป็นพิษ และไม่สะอาดที่สุดที่มนุษย์รับประทาน เราไม่ควรทานเนื้อสัตว์เลยหากเรารักสุขภาพและชีวิตของเรา เราจะมีชีวิตยืนนานขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น และฉลาดขึ้นโดยไม่มีเนื้อสัตว์

      วิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเนื้อสัตว์ทำให้เกิดโรคมะเร็งนานาชนิด และโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจวาย และโรคอ้วน  มีรายชื่ออยู่มากมาย  โรคทั้งหมดนี้คร่าชีวิตคนนับล้าน ๆ ทุกปี คนนับล้าน ๆ เสียชีวิตเนื่องจากโรคที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ และทำให้คนนับล้าน ๆ เจ็บป่วยอย่างรุนแรงและพิการอีกด้วย  เรื่องที่น่าเศร้าที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์นั้นมีไม่รู้จบ เราควรทราบสิ่งนี้แล้วจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ทั้งหมด

      เรายังไม่ได้กล่าวถึงสภาวะที่สกปรก สิ่งแวดล้อมที่แออัดที่ซึ่งสัตว์ถูกกักไว้จนถึงวันที่พวกเขาถูกฆ่า ซึ่งยิ่งส่งเสริมการแพร่กระจายของเชื้อโรค เช่น ไข้หวัดหมู ที่จริงแล้ว โรคที่แพร่กระจายโดยเนื้อสัตว์ อย่างเช่น โรควัวบ้าที่ติดต่อในมนุษย์นั้น ถึงแก่ชีวิตในทุกกรณี ใครก็ตามที่ติดเชื้อวัวบ้านั้นจะต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า  การติดเชื้ออื่น ๆ เช่น อีโคไล ซัลมอเนลล่า ฯลฯ สามารถทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพที่รุนแรง สร้างความเสียหายในระยะยาว และบางครั้งนำไปสู่การสูญเสียชีวิตอีกด้วย

      ในโลกวีแก้น จะไม่มีข่าวที่น่าเศร้าเช่นนี้ ที่ลูกของใครก็ตามกำลังเสียชีวิตจากความเสียหายทางสมองหรือเป็นอัมพาตเนื่องจากเชื้ออีโคไล แบคทีเรียที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งเดิมทีนั้นมาจากสัตว์ในฟาร์ม จะไม่มีการปวดศีรษะเนื่องจากการระบาดไข้หวัดหมู โรควัวบ้า มะเร็ง ชัก หัวใจวาย แซลมอเนลลา อีโบลา ฯลฯ ๆ  แม้แต่โรคเอดส์ที่เรากลัวกันอย่างมากนั้น เดิมทีก็มาจากการล่าสัตว์เป็นอาหาร  โรคสัตว์จากสภาพแวดล้อมของฟาร์มสัตว์ที่สกปรกและน่ากลัวนั้น เป็นสาเหตุของ 75% ของโรคในมนุษย์ทั้งหมด

      แม้แต่นมซึ่งเราได้รับการบอกกล่าวอย่างเป็นทางการว่าดีต่อเรานั้น ในทางตรงข้าม เป็นเพิษและทำให้เกิดโรค (และแน่นอน การสูญเสียทางการเงิน) นี่คือตัวอย่างบางส่วน: ชื้อแบคทีเรีย ยาฆ่าแมลงและเอนไซม์ที่พบในซีสที่ได้จากท้องด้านในของสัตว์ มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมากและอัณฑะจากฮอร์โมนในนม ลิสเตอร์เรีย และโรคโครน ฮอร์โมนและไขมันอิ่มตัวทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ

      ราคาสุขภาพของเนื้อสัตว์และนม

      โรคหลอดเลือดหัวใจมีค่าใช้จ่าย 503,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่สหรัฐอเมริการ ในปี 201098

      การรักษาโรคมะเร็งมีค่าใช้จ่าย 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่สหรัฐอเมริกา ต่อปี

      การรักษาโรคเบาหวานมีค่าใช้จ่าย 174 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่สหรัฐอเมริกา ต่อปี

      การรักษาโรคอ้วนมีค่าใช้จ่าย 93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่สหรัฐอเมริกา ต่อปี 99

      ซื้อเวลาสำหรับเทคโนโลยีสีเขียว

      เราไม่สามารถตัด CO2 ได้รวดเร็วอย่างนั้น เพราะเราไม่มีการประดิษฐ์เทคโนโลยีอื่น ๆ ในตอนนี้ที่จะทดแทนสิ่งที่เรามีอยู่ รถไฟฟ้ากี่คันที่คุณเห็นวิ่งอยู่บนถนนในสหรัฐอเมริกา? มันจะลด CO2 ไปได้เท่าไหร่? ไม่มากนัก แต่มีเทนที่มีพิษนั้นมาจากการเลี้ยงปศุสัตว์ ดังนั้นหากเราหยุดสิ่งนั้น ก็จะไม่มีความร้อนเกิดขึ้นอีก!

      มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้างในการดักจับ CO2 และผสมมันกับน้ำทะเลเพื่อสร้างซีเมนต์ สิ่งนี้จะลด CO2 ที่ถูกใช้ไปกับวิธีผลิตซีเมนต์อื่น ๆ ด้วย และยังลด CO2  ที่เกิดขึ้นใหม่จากการสร้างมลพิษในอากาศ แต่กระนั้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ ใดก็ตามใช้เวลานานเกินไปที่จะพัฒนา และเข้าสู่ตลาด

      ตามโครงการสิ่งแวดล้อมขององค์การสหประชาชาติ ทุ่งหญ้าและป่าไม้ตามธรรมชาติมีประสิทธิภาพในการดูดซับ CO2 มากกว่าเทคโนโลยีจับคาร์บอนใด ๆ นอกจากนี้ มันเสี่ยง ฉันคิดว่าอย่างนั้น มันยังไม่ได้รับการทดสอบ แล้วถ้าคาร์บอนรั่วไหลกลับสู่บรรยากาศอีกครั้งในปริมาณที่เข้มข้นอย่างนั้น? ตอนที่เราเก็บกักมันไว้ปีแล้วปีเล่า ทศวรรษแล้วทศวรรษเล่า แล้วมีบางสิ่งเกิดขึ้น และมันรั่วไหลออกไป แล้วเราจะอย่างไร?

      ดังนั้น ด้วยการทานวีแก้น เราทานสิ่งที่ดีที่สุดต่อสุขภาพของเรา ต่อสัตว์ ต่อสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติจะทำที่เหลือเพื่อฟื้นฟูสมดุลและรักษาโลกของเราไว้ 100

    บทที่ 1.
    บทที่ 2.
    บทที่ 3.
    บทที่ 4.
    บทที่ 5.
    บทที่ 6.


    Copyright © The Supreme Master Ching Hai. All rights reserved. *