II. ผู้นำทางศาสนานำทางผู้คนสู่การดำรงชีพอย่างมีคุณธรรม
บุคคลและผู้นำทางศาสนาควรพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น ควรก้าวออกมารับบทบาทผู้นำให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้สาธารณชนเข้าใจถึงปัญหาอันใหญ่หลวงที่เรากำลังประสบอยู่และแนวทางแก้ไขที่จะหยุดยั้งภาวะโลกร้อน
ผู้นำทางศาสนาจะต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างให้แก่ศิษย์ของพวกเขา แน่นอนว่าอันดับแรก พวกเขาต้องส่งเสริมให้ศิษย์ของพวกเขาทานมังสวิรัติ ทำความดีและละเว้นความชั่ว รวมทั้งสนับสนุนให้พวกเขารักษาสิ่งแวดล้อม หากผู้นำทางศาสนาสามารถบอกให้ลูกศิษย์ของพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว ย่อมเป็นการประกันความปลอดภัยให้กับโลกและก็จะรักษาโลกของเราไว้ได้ เนื่องจากสันติภาพนั้นเริ่มต้นที่จานอาหารของเรา สันติภาพเริ่มต้นจากโต๊ะอาหารของเรา
ผู้นำทางศาสนาสามารถให้ความเห็นและพยายามทำตนให้เป็นตัวอย่างของคำสอนอันดีงาม ตามแบบอย่างของผู้ก่อตั้งศาสนาตั้งแต่แรกเริ่ม อาทิเช่น พระเยซูคริสต์ ท่านนบีโมฮัมหมัด พระพุทธเจ้า ท่านคุรุนานัก เป็นต้น ท่านเหล่านี้สนับสนุนวิถีชีวิตมังสวิรัติที่เปี่ยมด้วยความเมตตา พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์จากคำสอนของผู้รู้แจ้งเหล่านี้ล้วนเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการดูแลซึ่งกันและกันและการเป็นผู้ดูแลที่ดีของโลกเรา
ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ มีคำกล่าวที่ว่า “เนื้อสำหรับกระเพาะและกระเพาะสำหรับเนื้อ แต่พระเจ้าจะทำลายสองสิ่งนั้นเสีย” ในมหาปรินิพพานสูตรของศาสนาพุทธก็มีกล่าวไว้เช่นกันว่า “การกินเนื้อสัตว์ทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตา และทุกการกระทำของผู้กินเนื้อสัตว์ย่อมทำให้สรรพสัตว์อื่นเกรงกลัว ด้วยกลิ่นเนื้อสัตว์จากร่างกายของพวกเขา”
อันที่จริงแล้วทั้งศาสนาคริสต์ พุทธ ฮินดู อิสลาม ทุกศาสนาล้วนสอนเราว่าอย่าทานสัตว์เป็นอาหาร เพราะพวกเขาคือการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า
แง่มุมทางจิตวิญญาณของการทานอาหารมังสวิรัติ (วีแก้น) นั้นชัดเจนมาก ซึ่งก็คือ การปราศจากความรุนแรง “เจ้าจงไม่ฆ่า” เมื่อพระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เจ้าจงไม่ฆ่า” พระองค์ไม่ได้หมายถึงมนุษย์เท่านั้น แต่หมายถึงสรรพชีวิตทั้งมวล
มันชัดเจนมากจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ว่าเราควรเป็นมังสวิรัติ (วีแก้น) ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ทั้งปวง เราควรเป็นมังสวิรัติ (วีแก้น) ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพทั้งปวง เราควรเป็นมังสวิรัติ (วีแก้น) ด้วยเหตุผลแห่งเมตตาธรรมทั้งปวง เราควรเป็นมังสวิรัติ (วีแก้น) และด้วยเป้าหมายที่จะรักษาโลกใบนี้ไว้ เราทุกคนควรเป็นมังสวิรัติ (วีแก้น)
งานวิจัยบางชิ้นได้ระบุว่า หากชาวตะวันตกหันมาทานอาหารมังสวิรัติ (วีแก้น) เพียงหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถช่วยชีวิตประชากรได้ถึง 60 ล้านคนต่อปี ดังนั้น จงเป็นวีรบุรุษ เป็นมังสวิรัติ (วีแก้น) ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา แต่คุณอาจจะถามว่า ทำไมต้องเป็นมังสวิรัติ (วีแก้น) ก็เพียงเพราะพระเจ้าภายในของเรานั้นต้องการมัน
ดังนั้น ผู้นับถือศาสนาทุกคนควรได้รับการย้ำเตือนว่า ในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เราจำเป็นต้องนำคำสอนเหล่านี้มาปฏิบัติจริง และการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือสิ่งที่ทุกคนสามารถกระทำได้ทันที – เป็นวีแก้น แน่นอนว่าอีกข้อหนึ่งก็คือ “รักษ์สิ่งแวดล้อม” ซึ่งหมายถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
การเป็นวีแก้นคือการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับความเชื่อทางศาสนาที่แท้จริงของเรา การละเว้นเนื้อสัตว์และหันมาดำรงชีวิตด้วยอาหารจากพืช หมายความว่าเราได้นำหลักเมตตาธรรมมาปฏิบัติในชีวิตจริง
เราอ่านและเรานำมาปฏิบัติ อย่างเช่น อหิงสา เราจำเป็นต้องยึดมั่นในหลักการเช่นนั้นอย่างแน่นอน เราไม่ฆ่าและไม่ลักขโมย และในทางกลับกันเรารักษาชีวิตและทำการกุศล เรารักกันและกัน ช่วยเหลือกันและกัน และประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม เราไม่นำสิ่งที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเราเอง และในทางกลับกันเรามอบสิ่งที่เรามีให้กับผู้ที่ขาดแคลน ทุกศาสนาล้วนสอนเราเช่นนั้น เราจึงแค่นำมันมาปฏิบัติ
เรามองกลับไปที่คำสอนของเราและจะเห็นสิ่งที่อาจารย์ทั้งหลายสอนเรา สิ่งที่พระศาสดาทั้งหลายได้สอนเราไว้ นั่นคือทั้งหมดที่เราต้องทำ ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งอื่นใดเลยด้วยซ้ำ พระคัมภีร์ต่าง ๆ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการดำรงชีวิตอย่างสันติ แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อเราน้อมนำมาปฏิบัติจริงเท่านั้น